amazon

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สิ่งที่แยกคนที่สำเร็จ ออกจากคนธรรมดา คือ “ความเชื่อในตัวเอง” !!!


เมื่อไหร่ที่คุณมี “ความเชื่อในตัวเอง” โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปตรงหน้าคุณ…
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้บนโลกใบนี้มี “คนที่ประสบความสำเร็จ” และคนธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตไปวันๆ คนที่สำเร็จ คือคนที่รู้ว่าเขาจะชนะอะไร ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเริ่มแข่งเสียอีก ในขณะที่คนอื่นๆ กลัวเสียตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่งซะแล้ว และถ้าคุณคือคนหนึ่งที่อยากจะ “ชนะ” เหมือนคนเหล่านั้น สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ คุณต้องมี “ความเชื่อในตัวเอง” ว่าคุณสามารถสร้างความสำเร็จนั้นได้ด้วยมือของคุณ

 
1. เมื่อคุณรู้ว่าความสำเร็จมันเป็นไปได้แน่ๆ คุณจะเลิกกังวลว่าจะล้มเหลว เพราะความกังวลนั่นแหละ ที่จะคอยกัดกินโอกาสไปสู่ความสำเร็จของคุณ
การมี “ความเชื่อในตัวเอง” คือการเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น คุณก็จะชนะมันได้ และคุณจะรู้ได้อย่างไรล่ะ?
ก็เพราะว่าคุณเชื่อยังไงล่ะ คุณจะรู้ด้วยตัวของคุณเองจากใจคุณ ว่าไม่มีอะไรเอาชนะคุณได้ คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลวนั้น เป็นเพราะเขาไม่ได้มองความล้มเหลวว่าเป็นหนึ่งในทางเลือกที่อาจจะเกิดขึ้นเท่านั้น แต่มองว่ามันเป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดมาก
จำไว้นะ คุณไม่สามารถเอาชนะในสงครามได้ ถ้าคุณไม่มีความเชื่อในศักยภาพและความแข็งแกร่งของคุณว่าวันคุณจะชนะในสมรภูมินั้น

 
2. การเชื่อในตัวเอง จะทำให้คุณเชื่อว่า “โลกนี้เป็นคนของคุณ” เพียงแต่คุณต้องคว้ามัน!
หลายๆ คนบอกว่า โลกเป็นของพวกเขา แต่น้อยคนเชื่อแบบนั้นจริงๆ และเมื่อเวลาผ่านไป ความคิดก็เริ่มเปลี่ยน และความเชื่อนั้นก็ไม่มีอีกต่อไป…
บางที เราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองต่างๆ นานา ทั้งการกระทำและเป้าหมาย ว่าทำไมเราถึงห่างไกลจากสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ จนบางทีเราเริ่มท้อ และหยุดเดิน ยอมรับความพ่ายแพ้ นั่นเป็นเพราะเราเชื่อมั่นในตัวเองน้อยเกินไป และเรามีความเชื่อที่ผิดว่า โลกนี้เป็นของเรา โดยที่เราไม่สู้มากพอ เพราะจำไว้นะ โลกเป็นของเรา แต่เราต้องคว้ามันเอง ไม่มีใครเอาความสำเร็จมากองอยู่ตรงหน้าให้คุณหรอกนะ
เพราะฉะนั้น เมื่อคุณเชื่อในตัวเอง คุณจะกล้าออกไปสู่โลกกว้าง ไขว่คว้าประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อความสำเร็จที่คุณตั้งเป้าไว้ และคุณจะได้สัมผัสกับโลกใหม่ที่คุณไม่เคยมองมาก่อนเลยล่ะ

 
3. ล้มบ้างก็ได้ แค่ลุกขึ้นมาใหม่ให้ได้ก็พอ
ความล้มเหลว บางทีมันก็เกิดขึ้นได้ เพราะคุณไม่มีทางชนะ 100 ครั้ง จากการรบ 100 ครั้ง จริงมั้ยล่ะ! เพียงแค่คุณต้องคิดว่า ความล้มเหลวไม่ใช่หมายถึงความพ่ายแพ้ของคุณ แต่หมายถึง ก้าวของคุณที่เดินพลาด และคุณพร้อมที่จะกลับไปเดินสู่หนทางที่ถูกต้องอีกครั้ง และนี่จะเกิดขึ้นได้ ถ้าคุณมี “ความเชื่อในตัวเอง” ว่าวันหนึ่งคุณจะชนะ และถึงแม้ก่อนหน้านี้จะล้มไปบ้าง แต่คุณก็ย้ิมรับมันได้!

 
4. คุณจะพบความรักใหม่สำหรับตัวคุณเอง

มีหลายคนบนโลกใบนี้ที่ไม่รักตัวเอง ซึ่งเป็นความคิดที่บ้ามากๆ เพราะอะไรน่ะเหรอ? คุณคิดดูนะ ถ้าคุณไม่รักตัวเอง คุณจะคาดหวังให้คนอื่นมารักคุณได้ยังไง? และในทางกลับกัน ถ้าคนรอบข้างยังรักคุณ ทำไมคุณถึงหาเหตุผลที่คุณจะรักตัวเองไม่ได้ล่ะ?
ความเชื่อ มันก็เป็น รูปหนึ่งของความรัก นั่นแหละ มันคือความรักในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่คุณเชื่อว่ามันจะต้องเกิดขึ้น นั่นคือ ถ้าคุณรักในตัวตนของคุณที่จะเป็นในอนาคตได้ คุณก็สามารถรักตัวตนของคุณในวันนี้ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น อย่ารู้สึกเสียใจ หรือ รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่คุณมี หรือสิ่งที่คุณเป็นในวันนี้ เพราะทุกอย่างมันจำเป็นสำหรับก้าวทุกก้าวของคุณสู่คนที่คุณอยากเป็นในอนาคตน่ะสิ

 
5. ถ้าเชื่อแล้ว คุณจะมองโลกในมุมมองที่ดีขึ้น
เมื่อคุณเชื่อในศักยภาพตัวเองแล้วละก็ วิธีมองโลกของคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทันที ปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาคุณจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และไม่ใช่สิ่งที่หนักหนาอะไร แต่เป็นสิ่งที่มาท้าทายความสามารถของคุณ ให้คุณเอาชนะมันให้ได้เท่านั้นเอง 

 
6. คุณจะ “เคารพ” ตัวคุณเอง มากกว่าที่เคยเป็นมา
เพราะอะไร? เพราะคุณได้เรียนรู้แล้วว่า คุณค่าของคุณคืออะไร เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเชื่อในอะไรก็ตามที่ไร้ความหมาย เพราะฉะนั้น การที่คุณมี “ความเชื่อในตัวเอง” คือคุณเห็นค่าในตัวเอง และทำให้คุณ “เคารพ” ตัวเองในที่สุด
หลายๆ คนในสังคมที่แก่งแย่ง สังคมที่บางทีก็โหดร้ายนั้น มักคิดว่าพวกเขาไม่มีค่า พวกเขาไม่มีที่ยืน ซึ่งถ้าวันหนึ่ง พวกเขาเปลี่ยนความคิดให้เชื่อในตัวเองได้ ทุกสิ่งก็จะดีขึ้น และที่สำคัญ ถ้าคุณเองยังไม่ “เคารพ” ตัวเอง ก็อย่าหวังให้คนอื่นมา “เคารพ” คุณเลย

 
7. คุณจะซาบซึ้งในชีวิตคุณมากกว่าที่เคยเป็นมา
ไม่เพียงแค่ชีวิตของคุณเองเท่านั้น แต่เป็น “ชีวิต” ของมนุษย์โดยทั่วไปด้วย ที่คุณจะรู้สึกซาบซึ้งมากขึ้นเมื่อคุณมีความเชื่อในตัวเอง เพราะคุณจะใช้ชีวิตออกห่างจากคำว่า เกลียดตัวเอง เกลียดการตัดสินชีวิตของตัวเอง การตัดสินชีวิตคนอื่น การดูถูกคนอื่น สิ่งเหล่านี้ คุณจะไม่ข้องเกี่ยว และเป็นอิสระจากมัน
และเมื่อคุณทำได้แบบนั้น ไม่ว่าคนรอบข้างในสังคม จ้องจะทำร้ายคุณอย่างไร ไม่ว่าสังคมจะบีบคั้นคุณมากแค่ไหน คุณก็จะอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะบางที มันคือแค่การเปลี่ยนมุมมองเท่านั้นแหละ แค่นี้ อิสรภาพก็อยู่ในมือคุณ

เมื่อส่อง “น้ำตา” ด้วยกล้องจุลทรรศน์ นี่คือความจริงที่น่าช็อกที่สุด!!


อยู่ดีๆ วันหนึ่ง Rose-Lynn Fisher เกิดสงสัยว่า “น้ำตา” ที่มาจากความเศร้า กับ “น้ำตา” ที่มาจากความสุขนั้น มันแตกต่างกันหรือไม่ เธอจึงเริ่มทดสอบผ่านการส่อง “น้ำตา” ด้วยกล้องจุลทรรศน์อย่างจริงจัง
เธอศึกษาน้ำตาที่แตกต่างกันจากสาเหตุของการหลั่ง “น้ำตา” กว่า 100 แบบ และเธอพบว่า มีความแตกต่างมากมาย อย่างเช่น น้ำตาที่ร่างกายหล่ังออกมาเพื่อหล่อลื่นดวงตานั้น ต่างจากน้ำตาเวลาที่เราปลอกหอมใหญ่ หรือน้ำตาที่เกิดจากการหัวเราะ ก็ต่างจากน้ำตาแห่งความเศร้า ซึ่งโปรเจ็คนี้ของเธอชื่อว่า The Topography of Tears.

 


น้ำตาจากการหัวเราะจนร้องไห้
laughing
Rose-Lynn Fisher

 
น้ำตาจากความเปลี่ยนแปลง
change
Rose-Lynn Fisher

 
น้ำตาจากความเศร้า
grief
Rose-Lynn Fisher

 
น้ำตาจากหอมใหญ่
onions
Rose-Lynn Fisher

 
Joseph Stromberg จาก Smithsonian’s Collage of Arts and Sciences อธิบายว่า น้ำตาจากแต่ละสาเหตุนั้นมีองค์ประกอบอินทรีย์เบื้องต้นเหมือนกันคือ oils, antibodies, และ enzymes แต่ที่ต่างคือโมเลกุลของมัน นอกจากนี้ น้ำตาที่ถูกส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์นั้น มันคือน้ำตาที่ตกผลึกเป็นเกลือ ซึ่งอาจส่งผลให้รูปผลึกที่ออกมาแตกต่างกันนั่นเอง 

 
น้ำตาที่หลั่งออกมาหล่อลื่นดวงตา
basal
Rose-Lynn Fisher

 
น้ำตาของการเจอเพื่อนเก่า
reunion
Rose-Lynn Fisher

 
น้ำตาของการเริ่มต้นและจุดจบ
ending:beginning
Rose-Lynn Fisher

 
น้ำตาของการปลดปล่อย
release
Rose-Lynn Fisher

 
น้ำตาของความหวัง
hope
Rose-Lynn Fisher

 
น้ำตาของความตื่นเต้นยินดี
elation
Rose-Lynn Fisher

 
น้ำตาของความทรงจำ
remembrance
Rose-Lynn Fisher
มันแทบไม่ต่างอะไรกับผลึกหิมะ หรือลายนิ้วมือเลย ที่ “น้ำตา” จะมีความแตกต่างได้มากมายขนาดนี้!

การทดลองนี้จะบอกเราว่าพลังแห่งความคิดของมนุษย์มีมากแค่ไหน! แล้วคุณจะอึ้ง!


Dr. Masaru Emoto นักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้เปิดเผยหลักฐานที่อาจทำให้ทั้งโลกอึ้งกับพลานุภาพของ “ความคิด” ของมนุษย์ ซึ่งเขาทำได้ทำการทดลองอันโด่งดังจนไปปรากฏอยู่ในหนังเรื่อง “What the Bleep Do We Know?” เมื่อปี 2004 มาแล้ว ที่ทำการทดลองว่า ความคิดของคนเราสามารถมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพได้หรือไม่ อย่างเช่น โมเลกุลของน้ำ
ซึ่งเขาเอง ก็ทำการทดลองเรื่อยมาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุล โดยเขาแช่แข็งหยดน้ำ และส่องเพื่อตรวจสอบโมเลกุลผ่านกล้องจุลทรรศน์ ที่สามารถถ่ายเก็บภาพได้
ทั้งนี้ เขาเก็บภาพทั้งก่อน และหลังของโมเลกุลของน้ำเมื่อถูกกระทบด้วยความรู้สึกและความคิดของมนุษย์ และนี่คือภาพสิ่งที่เกิดขึ้น :

โมเลกุลของน้ำจาก Fujiwara dam ก่อนการสวดมนต์ขอพร
ugly-water-molecule-structure-before-the-prayer-at-Fujiwara-dam-1024x851
Source: masaru-emoto.net

 
น้ำจากแหล่งเดียวกัน หลังการสวดมนต์ขอพร
water-molecule-structure-after-the-prayer-at-Fujiwara-dam-721x1024
Source: masaru-emoto.net

เมื่อคำว่า “ขอบคุณ” ถูกแปะลงที่ขวดน้ำกลั่น ผลึกของน้ำที่แข็งตัวของมัน มีรูปร่างที่คล้ายกับผลึกของน้ำที่อยู่กับบทเพลง “Goldberg Variations” ของ Bach ที่แต่งขึ้นเพื่อขอบคุณชายในเพลงนั้น
นี่คือภาพของโมเลกุลน้ำที่มีความคิดในแง่ “บวก” ส่งผลกระทบ:

ความเป็นนิรันดร์
eternal
Source: masaru-emoto.net

 
ความรักและความซาบซึ้ง
Love and Gratitude
Source: masaru-emoto.net

 
ความสงบ
peace
Source: masaru-emoto.net

 
การขอบคุณ
thank you
Source: masaru-emoto.net

 
ความจริง
truth
Source: masaru-emoto.net

 
ความปรองดอง
harmony
Source: masaru-emoto.net
เมื่อตัวอย่างของน้ำ ถูกใส่ด้วยคำพูดที่ลบและรุนแรง หรือบทเพลงที่รุนแรง อย่างเช่นคำว่า “Adolf Hitler” น้ำไม่เรียงตัวเป็นผลึกใดๆ เลย แต่มันกลับกระจัดกระจายไม่เป็นรูปเป็นร่าง ไม่สวยงาม
และนี่คือภาพโมเลกุลของน้ำที่มีความคิดในแง่ “ลบ” ไปส่งผลกระทบ:

เลวร้ายมาก
EVIL
Source: masaru-emoto.net

 
เธอกำลังทำให้ฉันเป็นบ้า ฉันอยากฆ่าเธอ!
you make me sick. I will kill you
Source: masaru-emoto.net

 
เธอมันโง่
you fool
Source: masaru-emoto.net
บางที เวลาที่เรามองไม่เห็นผลอย่างทันทีของการขอพร หรือสวดมนต์ บางทีเราคิดว่าเราล้มเหลว แต่สิ่งที่เราได้จากการทดลองของนักวิจัยคนนี้ มันบอกเราว่า แค่ “ความคิด” ที่ว่าเราจะล้มเหลว ก็ส่งผลแสดงออกมาต่อวัตถุทางกายภาพเสียแล้ว เพราะฉะนั้น เราควรรู้ไว้ว่า ถึงแม้ผลของการกระทำยังไม่เกิดขึ้นต่อสายตาของเรา แต่ผลมันเกิดขึ้นโดยที่เรามองไม่เห็นซะแล้ว เพราะอย่าลืมว่า 60% ของร่างกายของเราคือ “น้ำ” เพราะฉะนั้น คุณคงไม่อยากนึกภาพใช่มั้ยล่ะ ว่า “ความคิด” ต่างๆ นานา ของเรา ทำอะไรกับเราไปบ้าง!
และนี่คือคลิปวิดีโอจากภาพยนตร์เรื่อง “What the bleep do we know?” ที่โฟกัสที่การค้นพบของ Dr.Emoto :

Chetan Kadam

เศรษฐีจีนสร้างหมู่บ้านสุดหรูให้คนใน “หมู่บ้านยากจน” ที่เขาเติบโตมาอยู่ฟรี!


ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวน่าทึ่ง และน่าชื่มชมอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเศรษฐีชาวจีนคนนี้เดินทางกลับไปยัง “หมู่บ้านยากจน” ที่เขาเติบโตมาอีกครั้ง พร้อมสร้างหมู่บ้านสุดหรูให้คนในหมู่บ้านนั้นอยู่ฟรี!

 
chinese-millionaire-gives-back-to-village-3
Twistedsifter
Xiong Shuihua เศรษฐีวัย 54 ปีใช้เงินจำนวนมาก แปลงร่าง “หมู่บ้านยากจน” แห่งนี้ที่ชื่อว่า Xiongkeng village ในเมือง Xinyu ทางตอนใต้ของจีน ที่แต่เดิมมีเพียงกระท่อม ให้กลายเป็นบ้านหลังใหม่จำนวนมาก ซึ่งแต่ก่อนเขาก็เป็นเด็กยากจนคนหนึ่งในหมู่บ้านแห่งนั้น ก่อนที่เขาจะสร้างเนื้อสร้างตัวจนกลายเป็นเศรษฐีโรงงานเหล็ก
แต่ชายคนนี้ไม่เคยลืมรากเหง้าของตนเอง เขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับไปที่ที่เขาเติบโตขึ้นอีกครั้ง เขาบอกว่า:
“เขาหาเงินได้มากมายเกินกว่าที่เขาจะใช้ และเขาก็ไม่เคยลืมบ้านเกิดเมืองนอนของเขา ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน”
เขายังเสริมอีกว่า:
“ผมตอบแทนคนที่ผมเป็นหนี้เสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมต้องการมั่นใจว่าคนที่เคยช่วยเหลือผมในตอนเด็ก และครอบครัว ญาติพี่น้องของผมต้องอยู่สบาย”
ในรายงานบอกว่า ชายคนนี้ใช้เงินราว 4 ล้านปอนด์ หรือราว 200 ล้านบาทในการเนรมิตบ้านให้กับ 90 ครอบครัวในหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 72 ครอบครัว ที่ได้ที่อยู่เป็นอพาร์ทเม้นต์ใหม่เอี่ยม และ 18 ครอบครัว ที่เคยช่วยเหลือเขามาก่อน ที่ได้บ้านแนววิลล่าสุดหรูเป็นที่พักเลยทีเดียว
นอกจากนี้ คนแก่ที่รายได้น้อยในหมู่บ้าน ก็จะมีอาหารทานฟรีไปตลอด โดยหนึ่งในคนแก่เหล่านั้นเล่าว่า:
“ฉันจำพ่อแม่ของพ่อเศรษฐีคนนี้ได้ พวกเขาเป็นคนดีที่คอยช่วยเหลือคนอื่นๆ และเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่ลูกชายของเขาก็ เป็นคนดีแบบพวกเขาไม่มีผิดเพี้ยนเลยทีเดียว”

chinese-millionaire-xiong-shuihua-returns-to-village-builds-residents-free-luxury-homes-for-their-kindness-growing-up-2
Twistedsifter
chinese-millionaire-xiong-shuihua-returns-to-village-builds-residents-free-luxury-homes-for-their-kindness-growing-up-3
Twistedsifter
chinese-millionaire-xiong-shuihua-returns-to-village-builds-residents-free-luxury-homes-for-their-kindness-growing-up-4
Twistedsifter
chinese-millionaire-xiong-shuihua-returns-to-village-builds-residents-free-luxury-homes-for-their-kindness-growing-up-6
Twistedsifter
4271889d
Telegraph UK

8 ข้อของผู้หญิงที่ “มัดใจ” ชายได้โดยที่ไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก!!!






สำหรับผู้ชายอย่างเรา บางทีเรื่องผู้หญิง ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่แว็บเข้ามาในหัวในทุกๆ วัน ในระหว่างเดินทางไปทำงาน กำลังทำงาน หรือหลังเลิกงาน มันต้องมีบ้าง ที่เราจะคิดถึงคนที่เราอยากมีไว้ข้างกาย แต่ก็นั่นแหละ มันมีคำพูดที่ว่า “There are plenty of fish in the sea” หรือคนเรามีตัวเลือกมากมาย ที่ทำให้คุณยังมีความหวังว่า ต่อเป็นคงเป็นตาของคุณบ้างที่จะได้ปลาตัวนั้นไว้ครอบครอง แต่ก็แอบหวังเล็กๆ ว่าปลานั้นจะเป็นปลาที่เหมาะสมกับคุณจริงๆ
เมื่อเวลาผ่านไป สมหวังบ้าง อกหักบ้าง เจ็บบ้าง หักอกคนอื่นบ้าง เราก็เริ่มมีประสบการณ์มากขึ้นในเรื่องความรัก เราเริ่มจะแยกออกว่า ผู้หญิงแบบไหนที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นรักแท้ของคุณ ที่คุณอยากคบจริงจัง ในขณะที่ผู้หญิงแบบไหน ที่คุณอยากคบแค่เล่นๆ เท่านั้น
แน่นอนว่า “ความสวยงาม” ของผู้หญิง เป็นสิ่งที่น่าปรารถนา แต่จริงๆ แล้ว มันมีคุณสมบัติอีกมากมายในผู้หญิง ที่ถ้าคนคนนั้นมีแล้ว มันช่างน่าดึงดูดซะเหลือเกิน และเป็นอะไรที่สามารถ “มัดใจ” คุณได้ โดยที่ไม่ต้องใช้รูปลักษณ์ภายนอกของผู้หญิงเลยซักนิด เราไปดูกันว่า มีคุณสมบัติอะไรบ้าง!

 
1. เธอมีเป้าหมายที่ชัดเจน

ถ้าผู้หญิงคนที่คุณคุยอยู่ ไม่สนใจอะไรเลย นอกจากยอดไลค์ของเธอในเฟสบุ๊ก หรืออินสตาแกรม ผู้หญิงคนนั้นคงไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก เพราะคำว่า “มีเป้าหมายที่ชัดเจน” คือการที่ผู้หญิงคนหนึ่ง รู้ว่าสถานะของเธออยู่ตรงไหน คือใครในปัจจุบัน และเธอวาดภาพของเธอเองในอนาคตไว้เป็นอย่างไร และวางแผนว่าจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร
และนี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงคนนึงดูมีสเน่ห์มาก เพราะเธอโตพอที่จะมีความต้องการในการกำหนดอนาคตของตัวเอง และแน่นอนว่า ถึงแม้ว่าคุณจะชอบในแผนนั้นของเธอหรือไม่ มันย่อมมีผลต่อการวางแผนอนาคตของคุณทั้งสองคนร่วมกันอย่างแน่นอน

 
2. เธอมีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งใหม่ๆ วัฒนธรรมที่แตกต่าง

วัฒนธรรมที่แตกต่าง ให้สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งกับคุณ คือ “ประสบการณ์” และแน่นอนว่า ชีวิตคนเรา มันไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่า การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด เพราะฉะนั้น ทำไมคุณถึงอยากที่จะจำกัดตัวเองด้วยการไม่เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่ต่างจากคุณล่ะ?
การเปิดรับวัฒนธรรมที่แตกต่าง คือการที่คุณแสดงออกมาว่าคุณเป็นคนที่ใจกว้าง ยอมรับความแตกต่าง ไม่เหยียดวัฒนธรรมที่แตกต่างจากของคุณ ในขณะที่หากคุณไม่เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่ต่างจากคุณเลย คุณจะถูกมองว่าเป็นคนโลกทัศน์แคบทันที และนี่คืออีกข้อที่บอกว่า ผู้หญิงคนหนึ่งจะเจ๋งแค่ไหน ซึ่งเธอจะเจ๋งมาก ถ้าสามารถเปิดใจยอมรับความแตกต่างได้ และก้าวไปยังโลกกว้างพร้อมกับคุณ เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ นั่นเอง

 
3. เธอชอบฟังเพลง

พูดง่ายๆ เลยก็คือว่า รสนิยมการฟังเพลงของเธอ บอกอะไรได้มากเกี่ยวกับตัวตนของเธอ เพลงที่ดี วัดได้จากความสามารถในการสร้างแรงกระเพื่อมทางอารมณ์ให้กับคนฟัง ในแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์ และหากคุณสามารถเลือกคนที่ชอบรสนิยมการฟังเพลงคล้ายๆ คุณได้ คุณก็จะเชื่อมโยงกับความคิดความอ่านของเธอได้ง่ายขึ้น คุณจะเข้าใจกันง่ายขึ้น เพราะบางทีนะ คำพูดมันก็ยากที่จะแสดงออกถึงความรู้สึก และคนเราก็เลือกที่จะใช้บทเพลงแทนยังไงล่ะ

 
4. เธอมีมาตรฐานของเธอเอง และเพื่อนๆ ที่เธอคบหาด้วย

เมื่อคุณเริ่มคุยกับใครสักคนหนึ่ง ลองดูมาตรฐานของเธอดู ทั้งมาตรฐานของตัวเธอเอง และคนรอบข้างเธอที่เธอคบหาด้วย รวมไปถึงมาตรฐานที่คนรอบข้างปฏิบัติต่อเธอ
ผู้หญิงที่มีสเน่ห์จะไม่ยอมให้ใครดูถูก หรือปฏิบัติต่อเธอแบบไม่ให้เกียรติ และนั่นทำให้เธอเป็นคนที่น่าดึงดูด และมีรสนิยมมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม อย่าเข้าใจผิดนะ! การมีมาตรฐาน ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องทำตัวเหนือคนอื่น เธอเพียงแค่มีความควบคุมในสิ่งที่เธอมีสิทธิ์จะควบคุม เช่นเรื่องในชีวิตของเธอ ภาพพจน์ของเธอ คนรอบข้างเธอ การปฏิบัติต่อเธอ เป็นต้น

 
5. เธอรักครอบครัว 

คุณจะสามารถมองภาพครอบครัวของคุณกับเธอได้ โดยดูจากวิธีที่เธอปฏิบัติต่อครอบครัวของเธอ เพราะถ้าเธอรักครอบครัวแล้วละก็ มั่นใจได้เลยว่าเธอจะไม่เป็นคนเจ้าชู้ ไม่เป็นคนเบื่อง่ายหน่ายเร็ว ไม่เป็นคนที่สนใจในอะไรที่วูบวาบ แต่เธอจะเป็นคนรักเดียวใจเดียว และซื่อสัตย์ต่อคนที่เธอรักนั่นเอง

 
6. บางครั้งเธอก็พูดว่า “ช่างมันเถอะ”

เธอจะกลายเป็นคนที่มีสเน่ห์มาก ถ้าบางครั้งเธอก็บอกว่า “ช่างมันเถอะ” อย่างเช่น เธอขอโดดงานหนึ่งวัน เพื่อมาใช้เวลากับคุณ ไปเที่ยวกับคุณ การนัดกะทันหัน โดยไม่บอกล่วงหน้านานๆ ที บางทีก็เป็นอะไรที่โรแมนติกเหมือนกันนะ และนี่แหละที่จะทำให้ความรักของคนสองคนอยู่ยืด
เพราะอะไรนะเหรอ? การทำอะไรที่เป็นกิจวัตรนานๆ โดยที่ไม่มีอะไรที่กระชุ่มกระชวย อย่างเช่น เซอร์ไพรส์น่ารักๆ มาเบรกเลย ก็อาจจะทำให้ทุกอย่างมันน่าเบื่อไปซะหมด แต่ในขณะเดียวกันถ้าผู้หญิงคนนี้มีอะไรน่าตื่นเต้นมาให้คุณได้เสมอละก็ คนนี้แหละใช่เลย 

 
7. เธอมีงานอดิเรกของตัวเอง

ไม่ว่างานอดิเรกนั้นคืออะไร การที่เธอมีงานอดิเรกของเธอเอง มันทำให้เธอดูเซ็กซี่ขึ้นเยอะเลย เพราะการที่คนเราจะมีงานอดิเรกนั้น มันเป็นเพราะเรารักในสิ่งๆ นั้น ทำแล้วมันมีความสุข และถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนกล้าที่จะทำอะไรเพื่อความสุขของตัวเอง นั่นคือคนที่คุณควรอยู่ด้วย
นอกจากนี้ งานอดิเรก ยังเป็นการเน้นให้คุณดูว่า เธอคนนี้ก็มีชีวิตที่นอกเหนือไปจากความสัมพันธ์ของคุณสองคน เพราะบางทีถ้าคุณใช้เวลาด้วยกัน 24 ชั่วโมง มันอาจจะมากไปจนกลายเป็นหายนะในภายหลังก็ได้นะ

 
8. เธอเป็นตัวของตัวเองเวลาพูด

บางทีหาผู้หญิงที่เก่งเรื่องบนเตียงยากแล้ว การหาผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเองนี่สิยากกว่า หากคุณเจอคนที่เป็นตัวของตัวเองมากๆ เวลาพูดคุยนะ มันจะเป็นอะไรที่คุณต้องหยุดฟัง มองตาเธอ และไม่อยากให้เธอหยุดพูดเลยล่ะ เพราะมันแสดงถึงความฉลาดของผู้หญิงคนนี้ ความมั่นใจของผู้หญิงคนนี้ ซึ่งเป็นข้อดีที่คุณแทบจะไม่อยากให้เธอหลุดมือไปเลยทีเดียว